พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
เล่ม๕๖.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒
หน้า๓๑๐
[ ๘๘ ] "พึงเปล่งแต่วาจาดี เท่านั้น ไม่พึงเปล่ง |
วาจาชั่วเลย การเปล่งวาจาดีสำเร็จประโยชน์ได้ |
เปล่งวาจาชั่ว ย่อมเดือดร้อน" |
จบ สารัมภชาดกที่ ๘ |
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับอยู่ |
ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภโอมสวาทสิกขาบท ตรัส |
พระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กลฺยาณเมว มุญฺเจยฺย ดังนี้. |
แม้เรื่องทั้งสอง ก็เป็นเช่นเดียวกับเรื่องที่กล่าวไว้แล้ว |
ในนันทวิสาลชาดก ในหนหลัง. (แปลกแต่ว่า) ในชาดกนี้ พระ- |
โพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นโคทรงกำลัง ชื่อ สารัมภะ ของพราหมณ์ |
ผู้หนึ่ง ในพระนครตักกสิลา. พระศาสดาตรัสเรื่องในอดีตนี้แล้ว |
ครั้นตรัสรู้พระสัมโพธิญาณแล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :- |
" พึงเปล่งแต่วาจาดี เท่านั้น ไม่พึงเปล่ง |
วาจาชั่วเลย การเปล่งวาจาดีสำเร็จประโยชน์ได้ |
เปล่งวาจาชั่ว ย่อมเดือดร้อน " ดังนี้. |
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กลฺยาณเมว มุญฺเจยฺย ความว่า |
บุคคลพึงเปล่ง คือพึงแถลงได้แก่ พึงกล่าวถ้อยคำที่พ้นจากโทษ ๔ |
ชื่อว่า ถ้อยคำดีงาม คือไม่มีโทษเท่านั้น. |
บทว่า น หิ มุญฺเจยฺย ปาปิกํ ความว่า ไม่พึงเปล่งคำชั่ว |
คือคำลามก ได้แก่คำอันไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของคนอื่น ๆ. |
บทว่า โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ ความว่า การเปล่งวาจาดี |
เท่านั้น ยังประโยชน์ให้สำเร็จ คือเป็นความดีงาม เป็นความ |
เจริญในโลกนี้. |
บทว่า มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ ความว่า ครั้นเปล่ง คือแถลง |
ได้แก่กล่าวคำชั่ว คือคำหยาบแล้ว บุคคลนั้นย่อมเดือดร้อน คือ |
เศร้าโศก ลำบาก. |
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ด้วยประการฉะนี้ |
แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์ |
พราหมณีได้เป็นอุบลวรรณา ส่วนโคสารัมภะ ได้มาเป็นเรา |
ตถาคต ฉะนี้แล. |
จบ อรรถกถาสารัมภชาดกที่ ๘ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น