พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
เชตวนสูตรที่ ๘
[๑๔๗] เทวดากราบทูลว่า
ก็พระเชตวันมหาวิหารนี้นั้น อันหมู่แห่งท่านผู้แสวงคุณอยู่
อาศัยแล้ว อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชาประทับอยู่
แล้ว เป็นแหล่งที่เกิดปีติของข้าพระองค์ การงาน ๑ วิชา ๑
ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอย่างสูง ๑ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์
ด้วยคุณธรรม ๕ นี้ หาบริสุทธิ์ด้วยโคตรหรือด้วยทรัพย์ไม่ ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ คนผู้ฉลาด เมื่อเห็นประโยชน์ของตน
ควรเลือกเฟ้นธรรมโดยอุบายอันแยบคาย เพราะเมื่อเลือก
เฟ้นเช่นนี้ ย่อมหมดจดได้ในธรรมเหล่านั้น ฯ
พระสารีบุตรรูปเดียวเท่านั้น (เป็นผู้ประเสริฐ) ด้วยปัญญา
ศีล และความสงบ ภิกษุใดเป็นผู้ถึงซึ่งฝั่ง ภิกษุนั้นก็มี
ท่านพระสารีบุตรนั้นเป็นเยี่ยม ฯ
มัจฉริสูตรที่ ๙
[๑๔๘] เทวดาทูลถามว่า
คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่ เหนียวแน่น ดีแต่ว่าเขา
ทำการกีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่ ฯ
วิบากของคนพวกนั้นจะเป็นเช่นไร และสัมปรายภพของเขา
จะเป็นเช่นไร ฯ
ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค ไฉนข้าพระองค์จึง
จะรู้ความข้อนั้น ฯ
[๑๔๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่ เหนียวแน่น ดีแต่ว่าเขา
ทำการกีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่ ฯ
คนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือยมโลก
ถ้าหากถึงความเป็นมนุษย์ ก็เกิดในสกุลคนยากจน ซึ่งจะหา
ท่อนผ้า อาหาร ความร่าเริงและความสนุกสนานได้โดยยาก ฯ
คนพาลเหล่านั้นต้องประสงค์สิ่งใดแต่ผู้อื่น เขาย่อมไม่ได้แม้
สิ่งนั้น สมความปรารถนา นั่นเป็นผลในภพนี้ และภพหน้า
ก็ยังเป็นทุคติอีกด้วย ฯ
[๑๕๐] เทวดาทูลถามว่า
ก็ข้อนี้ข้าพระองค์เข้าใจชัดอย่างนี้ (แต่) จะทูลถามข้ออื่น
กะพระโคดม ชนเหล่าใดในโลกนี้ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว
รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพแรงกล้า วิบาก
ของชนเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร และสัมปรายภพของเขาจะ
เป็นเช่นไร ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค ไฉน
ข้าพระองค์จึงจะรู้ความข้อนั้น ฯ
[๑๕๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ชนเหล่าใดในโลกนี้ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว รู้ถ้อยคำ ปราศ-
*จากความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและ
พระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพแรงกล้า ชนเหล่านี้ย่อมปรากฏ
ในสวรรค์อันเป็นที่อุบัติ หากถึงความเป็นมนุษย์ ย่อมเกิด
ในสกุลที่มั่งคั่ง ได้ผ้าอาหารความร่าเริงและความสนุกสนาน
โดยไม่ยาก พึงมีอำนาจแผ่ไปในโภคทรัพย์ที่ผู้อื่นหาสะสม
ไว้ บันเทิงใจอยู่ นั่นเป็นวิบากในภพนี้ ทั้งภพหน้าก็เป็น
สุคติ ฯ
วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
เทวดาทูลถามว่าชนพวกไหนมีบุญ เจริญในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน ชนพวกไหนตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีลเป็นผู้ ไปสวรรค์ ฯ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
วนโรปสูตรที่ ๗
[๑๔๕] เทวดาทูลถามว่า
ชนพวกไหนมีบุญ เจริญในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลาง-
*คืน ชนพวกไหนตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีลเป็นผู้
ไปสวรรค์ ฯ
[๑๔๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ชนเหล่าใดสร้างอาราม (สวนไม้ดอกไม้ผล) ปลูกหมู่ไม้
(ใช้ร่มเงา) สร้างสะพาน และชนเหล่าใดให้โรงน้ำเป็นทาน
และบ่อน้ำทั้งบ้านที่พักอาศัย ชนเหล่านั้นย่อมมีบุญ เจริญ
ในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นตั้งอยู่ใน
ธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นผู้ไปสวรรค์ ฯ
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
วนโรปสูตรที่ ๗
[๑๔๕] เทวดาทูลถามว่า
ชนพวกไหนมีบุญ เจริญในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลาง-
*คืน ชนพวกไหนตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีลเป็นผู้
ไปสวรรค์ ฯ
[๑๔๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ชนเหล่าใดสร้างอาราม (สวนไม้ดอกไม้ผล) ปลูกหมู่ไม้
(ใช้ร่มเงา) สร้างสะพาน และชนเหล่าใดให้โรงน้ำเป็นทาน
และบ่อน้ำทั้งบ้านที่พักอาศัย ชนเหล่านั้นย่อมมีบุญ เจริญ
ในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นตั้งอยู่ใน
ธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นผู้ไปสวรรค์ ฯ
เทวดาทูลถามว่า ป่าชัฏชื่อโมหนะ อันหมู่นางอัปสรประโคมแล้ว อันหมู่ ปีศาจสิงอยู่แล้ว ทำไฉนจึงจะหนีไปได้ ฯ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
อัจฉราสูตรที่ ๖
[๑๔๓] เทวดาทูลถามว่า
ป่าชัฏชื่อโมหนะ อันหมู่นางอัปสรประโคมแล้ว อันหมู่
ปีศาจสิงอยู่แล้ว ทำไฉนจึงจะหนีไปได้ ฯ
[๑๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ทางนั้นชื่อว่าเป็นทางตรง ทิศนั้นชื่อว่าไม่มีภัย รถชื่อว่าไม่มี
เสียงดัง ประกอบด้วยล้อคือธรรม หิริเป็นฝาของรถนั้น
สติเป็นเกราะกั้นของรถนั้น เรากล่าวธรรมมีสัมมาทิฏฐินำหน้า
ว่าเป็นสารถี ยานชนิดนี้มีอยู่แก่ผู้ใด จะเป็นหญิงหรือชาย
ก็ตาม เขา (ย่อมไป) ในสำนักพระนิพพานด้วยยาน
นี้แหละ ฯ
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
อัจฉราสูตรที่ ๖
[๑๔๓] เทวดาทูลถามว่า
ป่าชัฏชื่อโมหนะ อันหมู่นางอัปสรประโคมแล้ว อันหมู่
ปีศาจสิงอยู่แล้ว ทำไฉนจึงจะหนีไปได้ ฯ
[๑๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ทางนั้นชื่อว่าเป็นทางตรง ทิศนั้นชื่อว่าไม่มีภัย รถชื่อว่าไม่มี
เสียงดัง ประกอบด้วยล้อคือธรรม หิริเป็นฝาของรถนั้น
สติเป็นเกราะกั้นของรถนั้น เรากล่าวธรรมมีสัมมาทิฏฐินำหน้า
ว่าเป็นสารถี ยานชนิดนี้มีอยู่แก่ผู้ใด จะเป็นหญิงหรือชาย
ก็ตาม เขา (ย่อมไป) ในสำนักพระนิพพานด้วยยาน
นี้แหละ ฯ
ชนเหล่าใดมีใจผ่องใสแล้ว ให้อาหารนั้นด้วยศรัทธา
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
อันนสูตรที่ ๓
[๑๓๙] เทวดากราบทูลว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างก็พอใจอาหารด้วยกันทั้งนั้น
เออ ก็ผู้ที่ไม่พอใจอาหารชื่อว่ายักษ์โดยแท้ ฯ
[๑๔๐] พ. ชนเหล่าใดมีใจผ่องใสแล้ว ให้อาหารนั้นด้วยศรัทธา
อาหารนั้นแลย่อมพะนอเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะ
เหตุนั้นบุคคลพึงนำความตระหนี่ให้ปราศจากไป พึงข่มความ
ตระหนี่ซึ่งเป็นตัวมลทินเสียให้ทาน เพราะบุญทั้งหลายเป็นที่
พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า ฯ
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
อันนสูตรที่ ๓
[๑๓๙] เทวดากราบทูลว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างก็พอใจอาหารด้วยกันทั้งนั้น
เออ ก็ผู้ที่ไม่พอใจอาหารชื่อว่ายักษ์โดยแท้ ฯ
[๑๔๐] พ. ชนเหล่าใดมีใจผ่องใสแล้ว ให้อาหารนั้นด้วยศรัทธา
อาหารนั้นแลย่อมพะนอเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะ
เหตุนั้นบุคคลพึงนำความตระหนี่ให้ปราศจากไป พึงข่มความ
ตระหนี่ซึ่งเป็นตัวมลทินเสียให้ทาน เพราะบุญทั้งหลายเป็นที่
พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า ฯ
บุคคลให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้กำลัง ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้วรรณะ ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้ความสุข ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้จักษุ และบุคคลเช่นไรชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
กินททสูตรที่ ๒
[๑๓๗] เทวดาทูลถามว่า
บุคคลให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้กำลัง ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้วรรณะ
ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้ความสุข ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้จักษุ
และบุคคลเช่นไรชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพระองค์ทูลถาม
พระองค์ ขอพระองค์ตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด ฯ
[๑๓๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บุคคลให้อาหารชื่อว่าให้กำลัง ให้ผ้าชื่อว่าให้วรรณะ ให้ยาน
พาหนะชื่อว่าให้ความสุข ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้จักษุและ
ผู้ที่ให้ที่พักพาอาศัยชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนผู้ที่พร่ำสอน
ธรรมชื่อว่าให้อมฤตธรรม ฯ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)