วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เชตวนสูตรที่ ๘ มัจฉริสูตรที่ ๙

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.

เชตวนสูตรที่ ๘
             [๑๔๗] เทวดากราบทูลว่า
                          ก็พระเชตวันมหาวิหารนี้นั้น อันหมู่แห่งท่านผู้แสวงคุณอยู่
                          อาศัยแล้ว อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชาประทับอยู่
                          แล้ว เป็นแหล่งที่เกิดปีติของข้าพระองค์ การงาน ๑ วิชา ๑
                          ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอย่างสูง ๑ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์
                          ด้วยคุณธรรม ๕ นี้ หาบริสุทธิ์ด้วยโคตรหรือด้วยทรัพย์ไม่ ฯ
                          เพราะเหตุนั้นแหละ คนผู้ฉลาด เมื่อเห็นประโยชน์ของตน
                          ควรเลือกเฟ้นธรรมโดยอุบายอันแยบคาย เพราะเมื่อเลือก
                          เฟ้นเช่นนี้ ย่อมหมดจดได้ในธรรมเหล่านั้น ฯ
                          พระสารีบุตรรูปเดียวเท่านั้น (เป็นผู้ประเสริฐ) ด้วยปัญญา
                          ศีล และความสงบ ภิกษุใดเป็นผู้ถึงซึ่งฝั่ง ภิกษุนั้นก็มี
                          ท่านพระสารีบุตรนั้นเป็นเยี่ยม ฯ

มัจฉริสูตรที่ ๙
             [๑๔๘] เทวดาทูลถามว่า
                          คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่ เหนียวแน่น ดีแต่ว่าเขา
                          ทำการกีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่ ฯ
                          วิบากของคนพวกนั้นจะเป็นเช่นไร และสัมปรายภพของเขา
                          จะเป็นเช่นไร ฯ
                          ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค ไฉนข้าพระองค์จึง
                          จะรู้ความข้อนั้น ฯ
             [๑๔๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่ เหนียวแน่น ดีแต่ว่าเขา
                          ทำการกีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่ ฯ
                          คนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือยมโลก
                          ถ้าหากถึงความเป็นมนุษย์ ก็เกิดในสกุลคนยากจน ซึ่งจะหา
                          ท่อนผ้า อาหาร ความร่าเริงและความสนุกสนานได้โดยยาก ฯ
                          คนพาลเหล่านั้นต้องประสงค์สิ่งใดแต่ผู้อื่น เขาย่อมไม่ได้แม้
                          สิ่งนั้น สมความปรารถนา นั่นเป็นผลในภพนี้ และภพหน้า
                          ก็ยังเป็นทุคติอีกด้วย ฯ
             [๑๕๐] เทวดาทูลถามว่า
                          ก็ข้อนี้ข้าพระองค์เข้าใจชัดอย่างนี้ (แต่) จะทูลถามข้ออื่น
                          กะพระโคดม ชนเหล่าใดในโลกนี้ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว
                          รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
                          พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพแรงกล้า วิบาก
                          ของชนเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร และสัมปรายภพของเขาจะ
                          เป็นเช่นไร ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค ไฉน
                          ข้าพระองค์จึงจะรู้ความข้อนั้น ฯ
             [๑๕๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          ชนเหล่าใดในโลกนี้ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว รู้ถ้อยคำ ปราศ-
                          *จากความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและ
                          พระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพแรงกล้า ชนเหล่านี้ย่อมปรากฏ
                          ในสวรรค์อันเป็นที่อุบัติ หากถึงความเป็นมนุษย์ ย่อมเกิด
                          ในสกุลที่มั่งคั่ง ได้ผ้าอาหารความร่าเริงและความสนุกสนาน
                          โดยไม่ยาก พึงมีอำนาจแผ่ไปในโภคทรัพย์ที่ผู้อื่นหาสะสม
                          ไว้ บันเทิงใจอยู่ นั่นเป็นวิบากในภพนี้ ทั้งภพหน้าก็เป็น
                          สุคติ ฯ

เทวดาทูลถามว่าชนพวกไหนมีบุญ เจริญในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน ชนพวกไหนตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีลเป็นผู้ ไปสวรรค์ ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.

วนโรปสูตรที่ ๗
             [๑๔๕] เทวดาทูลถามว่า
                          ชนพวกไหนมีบุญ เจริญในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลาง-
                          *คืน ชนพวกไหนตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีลเป็นผู้
                          ไปสวรรค์ ฯ
             [๑๔๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          ชนเหล่าใดสร้างอาราม (สวนไม้ดอกไม้ผล) ปลูกหมู่ไม้
                          (ใช้ร่มเงา) สร้างสะพาน และชนเหล่าใดให้โรงน้ำเป็นทาน
                          และบ่อน้ำทั้งบ้านที่พักอาศัย ชนเหล่านั้นย่อมมีบุญ เจริญ
                          ในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นตั้งอยู่ใน
                          ธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นผู้ไปสวรรค์ ฯ

เทวดาทูลถามว่า ป่าชัฏชื่อโมหนะ อันหมู่นางอัปสรประโคมแล้ว อันหมู่ ปีศาจสิงอยู่แล้ว ทำไฉนจึงจะหนีไปได้ ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.

อัจฉราสูตรที่ ๖
             [๑๔๓] เทวดาทูลถามว่า
                          ป่าชัฏชื่อโมหนะ อันหมู่นางอัปสรประโคมแล้ว อันหมู่
                          ปีศาจสิงอยู่แล้ว ทำไฉนจึงจะหนีไปได้ ฯ
             [๑๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          ทางนั้นชื่อว่าเป็นทางตรง ทิศนั้นชื่อว่าไม่มีภัย รถชื่อว่าไม่มี
                          เสียงดัง ประกอบด้วยล้อคือธรรม หิริเป็นฝาของรถนั้น
                          สติเป็นเกราะกั้นของรถนั้น เรากล่าวธรรมมีสัมมาทิฏฐินำหน้า
                          ว่าเป็นสารถี ยานชนิดนี้มีอยู่แก่ผู้ใด จะเป็นหญิงหรือชาย
                          ก็ตาม เขา (ย่อมไป) ในสำนักพระนิพพานด้วยยาน
                          นี้แหละ ฯ

ชนเหล่าใดมีใจผ่องใสแล้ว ให้อาหารนั้นด้วยศรัทธา

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.

อันนสูตรที่ ๓
             [๑๓๙] เทวดากราบทูลว่า
                          เทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างก็พอใจอาหารด้วยกันทั้งนั้น
                          เออ ก็ผู้ที่ไม่พอใจอาหารชื่อว่ายักษ์โดยแท้ ฯ
             [๑๔๐] พ. ชนเหล่าใดมีใจผ่องใสแล้ว ให้อาหารนั้นด้วยศรัทธา
                          อาหารนั้นแลย่อมพะนอเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะ
                          เหตุนั้นบุคคลพึงนำความตระหนี่ให้ปราศจากไป พึงข่มความ
                          ตระหนี่ซึ่งเป็นตัวมลทินเสียให้ทาน เพราะบุญทั้งหลายเป็นที่
                          พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า ฯ

บุคคลให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้กำลัง ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้วรรณะ ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้ความสุข ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้จักษุ และบุคคลเช่นไรชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.  

กินททสูตรที่ ๒
             [๑๓๗] เทวดาทูลถามว่า
                          บุคคลให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้กำลัง ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้วรรณะ
                          ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้ความสุข ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้จักษุ
                          และบุคคลเช่นไรชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพระองค์ทูลถาม
                          พระองค์ ขอพระองค์ตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด ฯ
             [๑๓๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          บุคคลให้อาหารชื่อว่าให้กำลัง ให้ผ้าชื่อว่าให้วรรณะ ให้ยาน
                          พาหนะชื่อว่าให้ความสุข ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้จักษุและ
                          ผู้ที่ให้ที่พักพาอาศัยชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนผู้ที่พร่ำสอน
                          ธรรมชื่อว่าให้อมฤตธรรม ฯ
 
Blogger Templates