วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

ความเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นเหตุนำสุขมา

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.

หมายเหตุ คลิกที่รูปภาพ เพื่อซูม
ขยายรูปอ่านข้อความ





คลิกอ่าน เพื่อซูมภาพ


วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

อรรถกถา ๔. ทีฆชาณุสูตร : "ดูกรพยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ คือ"

อรรถกถา อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สันธานวรรคที่
. ทีฆชาณุสูตร
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.

อรรถกถาทีฆชาณุสูตรที่               
               ทีฆชาณุสูตรที่ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               คำว่า พฺยคฺฆปชฺช นี้เป็นคำร้องเรียกโกลิยบุตรชื่อทีฆชาณุนั้น ด้วยอำนาจประเพณีตั้งชื่อ.
               จริงอยู่ บรรพบุรุษของโกลิยบุตร ชื่อทีฆชาณุนั้นเกิดในทางเสือผ่าน เพราะฉะนั้น คนในตระกูลนั้น เขาจึงเรียกกันว่า พยัคฆปัชชะ.
               บทว่า อิสฺสตฺเถน แปลว่า ด้วยงานของนักรบแม่นธนู.
               บทว่า ตตฺรุปายาย ความว่า อันเป็นอุบายในการงานนั้น เพราะรู้ว่า เวลานี้ควรทำสิ่งนี้.
               บทว่า วุฑฺฒสีลิโน แปลว่า ผู้มีศีลอันสมบูรณ์ ผู้มีสมาจารอันหมดจด.
               บทว่า อายํ แปลว่า การมา.
               บทว่า นาจฺโจคาฬฺหํ แปลว่า ไม่เบียดกรอนัก.
               บทว่า ปริยาทาย ได้แก่ รับมาแล้วใช้จ่ายไป ในข้อนั้น ผู้ใดมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่ารายจ่ายเป็น เท่า รายจ่ายของผู้นั้นไม่สามารถที่จะทำรายได้ให้หมดไป.
               (สมดังที่ตรัสไว้ในสิงคาลสูตรว่า)
                                จตุธา วิภเช โภเค                ปณฺฑิโต ฆรมาวสํ
                                เอเกน โภเค ภุญฺเชยฺย            ทฺวีหิ กมฺมํ ปโยชเย
                                จตุตฺถญฺจ นิธาเปยฺย             อาปทาสุ ภวิสฺสติ
                                บัณฑิตบุคคลผู้ครองเรือน พึงแบ่งโภคทรัพย์ออก
                                เป็น ส่วน คือส่วนหนึ่งใช้สอย สองส่วนประกอบ
                                การงาน ส่วนที่ เก็บไว้ในเมื่อมีอันตราย.

               ก็เมื่อบุคคลปฏิบัติอย่างนี้ รายจ่ายย่อมไม่อาจจะเหนือรายได้ไปได้เลย.
               บทว่า อุทุมฺพรขาทิกํ ความว่า เมื่อบุคคลประสงค์จะกินผลมะเดื่อ เขย่าต้นมะเดื่อที่มีผลสุก ผลเป็นอันมากหล่นลงมาด้วยการเขย่าคราวเดียวเท่านั้น เขากินผลที่ควรจะกิน ทิ้งผลเป็นอันมากนอกนี้ไปเสียฉันใด บุคคลใดสุรุ่ยสุร่ายกระทำรายจ่ายให้มากกว่ารายได้ บริโภคโภคะ บุคคลนั้นเขาเรียกว่า กินทิ้งกินขว้าง เหมือนกุลบุตรผู้กินผลมะเดื่อคนนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า อทฺธมาริกํ แปลว่า ตายน่าอนาถ.
               บทว่า สมชีวิกํ กปฺเปติ แปลว่า เลี้ยงชีพอย่างพอดี.
               บทว่า สมชีวิตา ความว่า เป็นอยู่ด้วยความเป็นอยู่อันพอดี.
               บทว่า อปายมุขานิ ได้แก่ ฐานที่ตั้งแห่งความพินาศ.
               บทว่า อุฏฺฐาตา กมฺมเธยฺเยสุ ได้แก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยความขยันหมั่นเพียร ในฐานะที่กระทำการงาน.
               บทว่า วิธานวา แปลว่า ผู้จัดงานเป็น.
               บทว่า โสตฺถานํ สมฺปรายิกํ ได้แก่ ความสวัสดีอันเป็นไปในภายภาคหน้า.
               บทว่า สจฺจนาเมน ความว่า โดยพระนามที่แท้จริงอย่างนี้ว่า เป็นพุทธะ เพราะตรัสรู้นั่นเอง.
               บทว่า จาโค ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ ความว่า จาคะและบุญที่เหลือย่อมเจริญ.
               ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสศรัทธาเป็นต้นคละกัน.

               จบอรรถกถาทีฆชาณุสูตรที่               

               -----------------------------------------------------

ดูกรพยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ คือ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.

ทีฆชาณุสูตร

[๑๔๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ นิคมแห่งชาวโกฬิยะ
ชื่อ กักกรปัตตะ ใกล้เมืองโกฬิยะ ครั้งนั้นแล โกฬิยบุตรชื่อทีฆชาณุ เข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์
ยังบริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดบุตร ใช้จันทน์ในแคว้นกาสี ยังทรงดอก-
*ไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีเงินและทองอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมที่เหมาะแก่ข้าพระองค์ อันจะพึงเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าเถิด
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร ประการเป็นไฉน
คือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา
             ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็อุฏฐานสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เลี้ยง
ชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน คือ กสิกรรม พาณิชยกรรม โครักขกรรม รับ
ราชการฝ่ายทหาร รับราชการฝ่ายพลเรือน หรือศิลปอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ขยัน
ไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่องอันเป็นอุบายใน
การงานนั้น สามารถจัดทำได้ ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าอุฏฐานสัมปทา
             ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็อารักขสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ มีโภค-
*ทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว
ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล
ด้วยทำไว้ในใจว่า ไฉนหนอ พระราชาไม่พึงบริโภคทรัพย์เหล่านี้ของเรา โจรไม่
พึงลัก ไฟไม่พึงไหม้ น้ำไม่พึงพัดไป ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักจะไม่พึงลักไป ดูกร
พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าอารักขสัมปทา
             ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็กัลยาณมิตตตาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ อยู่อาศัย
ในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตน เจรจา สั่งสนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคม
นั้น ซึ่งเป็นคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี เป็นคนหนุ่มหรือคนแก่ ผู้มีสมาจาร
บริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ศึกษาศรัทธาสัมปทาตามผู้ถึง
พร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาศีลสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ศึกษาจาคสัมปทาตามผู้
ถึงพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาปัญญาสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ดูกรพยัคฆปัชชะ
นี้เรียกว่ากัลยาณมิตตตา
             ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็สมชีวิตเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ รู้ทางเจริญ
ทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก
ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่าย
ของเราจักต้องไม่เหนือรายได้ ดูกรพยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือนคนชั่งตราชั่ง
หรือลูกมือคนชั่งตราชั่ง ยกตราชั่งขึ้นแล้ว ย่อมลดออกเท่านี้ หรือต้องเพิ่ม
เข้าเท่านี้ ฉันใด กุลบุตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน รู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่ง
โภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วย
คิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือ
รายได้ ดูกรพยัคฆปัชชะ ถ้ากุลบุตรผู้นี้มีรายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างโอ่โถง
จะมีผู้ว่าเขาว่า กุลบุตรผู้นี้ใช้โภคทรัพย์เหมือนคนเคี้ยวกินผลมะเดื่อฉะนั้น ก็ถ้า
กุลบุตรผู้ที่มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีพอย่างฝืดเคือง จะมีผู้ว่าเขาว่า กุลบุตรผู้นี้
จักตายอย่างอนาถา แต่เพราะกุลบุตรผู้นี้รู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์
แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้
ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้ ดูกร
พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าสมชีวิตา
             ดูกรพยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเสื่อม
ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน
มีมิตรชั่ว สหายชั่ว เพื่อนชั่ว ดูกรพยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือนสระน้ำใหญ่
มีทางไหลเข้า ทาง ทางไหลออก ทาง บุรุษพึงปิดทางไหลเข้า เปิดทาง
ไหลออกของสระนั้น ฝนก็มิตกต้องตามฤดูกาล ด้วยประการฉะนี้ สระน้ำใหญ่
นั้นพึงหวังความเสื่อมอย่างเดียว ไม่มีความเจริญเลย ฉันใด โภคทรัพย์ที่เกิด
โดยชอบอย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมมีทางเสื่อม ประการ คือ เป็น
นักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรชั่ว สหายชั่ว
เพื่อนชั่ว
             ดูกรพยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเจริญ
ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลง
การพนัน มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี ดูกรพยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือน
สระน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ทาง ไหลออก ทาง บุรุษพึงเปิดทางไหลเข้า
ปิดทางไหลออกของสระนั้น ทั้งฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล ด้วยประการฉะนี้
สระน้ำใหญ่นั้นพึงหวังความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม ฉันใด โภคทรัพย์ที่เกิด
โดยชอบอย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมมีทางเจริญ ประการ คือ ไม่เป็น
นักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรดี
สหายดี เพื่อนดี ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ประการนี้แล ย่อมเป็นไป
เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร
             ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์
เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร ธรรม ประการเป็นไฉน คือ สัทธา-
*สัมปทา สีลสัมปทา จาคสัมปทา ปัญญาสัมปทา
             ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็สัทธาสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้มีศรัทธา
คือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาค
พระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดูกรพยัคฆปัชชะ
นี้เรียกว่าสัทธาสัมปทา
             ดูกรพยัคฆปัชชะ สีลสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้น
จากปาณาติบาต ฯลฯ เป็นผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็น
ที่ตั้งแห่งความประมาท ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าสีลสัมปทา
             ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็จาคสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ มีจิต
ปราศจากมลทินคือความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามือชุ่ม
ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน ดูกรพยัคฆปัชชะ
นี้เรียกว่าจาคสัมปทา
             ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็ปัญญาสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้มี
ปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญาที่เห็นความเกิดและความดับ เป็นอริยะ ชำแรก
กิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าปัญญาสัมปทา
ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุข
ในภายหน้าแก่กุลบุตร
                          คนหมั่นในการทำงาน ไม่ประมาท จัดการงานเหมาะสม
                          เลี้ยงชีพพอเหมาะ รักษาทรัพย์ที่หามาได้ มีศรัทธา
                          ถึงพร้อมด้วยศีล รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ ชำระ
                          ทางสัมปรายิกประโยชน์เป็นนิตย์ ธรรม ประการดังกล่าวนี้
                          ของผู้ครองเรือน ผู้มีศรัทธา อันพระพุทธเจ้าผู้มีพระนาม
                          อันแท้จริงตรัสว่า นำสุขมาให้ในโลกทั้งสอง คือ ประโยชน์
                          ในปัจจุบันนี้และความสุขในภายหน้า บุญ คือ จาคะนี้
                          ย่อมเจริญแก่คฤหัสถ์ด้วยประการฉะนี้


จบสูตรที่
 
Blogger Templates