พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
เล่ม ๗๐.พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ หน้า๒๓๗
| ว่าด้วยเหตุให้สำเร็จเป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า |
| [๒] ลำดับนี้ ขอท่านทั้งหลายจงฟัง ปัจเจกสัมพุทธาปทาน. |
| พระอานนท์เวเทหมุนี ผู้มีอินทรีย์อันสำรวมแล้ว ได้ทูลถาม |
| พระตถาคตผู้ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันว่า ได้ทราบว่า |
| พระปัจเจกสัมพุทธเจ้ามีจริงหรือ เพราะเหตุไร ท่านเหล่านั้น |
| จึงได้เป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนักปราชญ์. |
| ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญู ผู้ประ- |
| เสริฐ ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ตรัสตอบท่านพระอานนท์ผู้เจริญ |
| ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าสร้าง |
| บุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าทั้งปวง ยังไม่ได้โมกขธรรมใน |
| ศาสนาของพระชินเจ้า. |
| ด้วยมุขคือความสังเวชนั้นนั่นแล ท่านเหล่านั้นเป็น |
| นักปราชญ์ มีปัญญาแก่กล้า ถึงจะเว้นพระพุทธเจ้าก็ย่อม |
| บรรลุปัจเจกโพธิญาณได้ แม้ด้วยอารมณ์นิดหน่อย. |
| ในโลกทั้งปวง เว้นเราเสียแล้ว ไม่มีใครเสมอกับพระ- |
| ปัจเจกพุทธเจ้าได้เลย เราจักบอกคุณเพียงสังเขปนี้ ของท่าน |
| เหล่านั้น ท่านทั้งหลายจงฟังคุณของพระมหามุนีให้ดี. |
| ท่านทั้งปวงผู้ปรารถนาพระนิพพาน อันเป็นโอสถวิเศษ |
| จงมีใจผ่องใส ฟังถ้อยคำอันดีอ่อนหวานไพเราะ ของพระ- |
| ปัจเจกสัมพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณใหญ่ ตรัสรู้ด้วยตนเองเถิด. |
| คำพยากรณ์โดยสืบ ๆ กันมาเหล่าใด ของพระปัจเจก- |
| พุทธเจ้าทั้งหลายผู้มาประชุมกัน โทษ เหตุปราศจากราคะ |
| และพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย บรรลุพระโพธิญาณ ด้วย |
| ประการใด. |
| พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย มีสัญญาในวัตถุอันมีราคะ |
| ว่า ปราศจากราคะ มีจิตปราศจากกำหนัด ในโลกอันกำหนัด |
| ละธรรมเครื่องเนิ่นช้า ชนะทิฏฐิอันดิ้นรน แล้วได้บรรลุ |
| พระโพธิสัตว์ ณ สถานที่นั้นเอง. |
| ท่านวางอาญาในสัตว์ทั้งปวงเสียแล้ว ไม่เบียดเบียนสัตว์ |
| แม้ตนเดียว ในบรรดาสัตว์เหล่านั้น มีจิตประกอบด้วยเมตตา |
| หวังประโยชน์เกื้อกูล พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเสมือนนอแรด |
| ฉะนั้น. |
| ท่านวางอาญาในปวงสัตว์ ไม่เบียดเบียนแม้ผู้หนึ่งใน |
| บรรดาสัตว์เหล่านั้น ไม่ปรารถนาบุตร ที่ไหนจะปรารถนา |
| สหาย พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเสมือนนอแรดฉะนั้น. |
| ความมีเสน่หาย่อมมีแก่ผู้เกี่ยวข้อง ทุกข์ที่อาศัยความ |
| เสน่หานี้มีมากมาย ท่านเล็งเห็นโทษอันเกิดแต่ความเสน่หา |
| พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| บุคคลผู้อนุเคราะห์มิตรสหาย มีจิตใจผูกพัน ย่อมทำ |
| ประโยชน์ให้เสื่อมไป ท่านเล็งเห็นภัยในความสนิทสนมข้อนี้ |
| พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเสมือนนอแรดฉะนั้น. |
| ความเสน่หาในบุตรและภรรยา เปรียบเหมือนไม้ไผ่ |
| กอไผ่เกี่ยวพันกันอยู่ ท่านไม่ข้องในบุตรและภรรยา ดัง |
| หน่อไม้ไผ่ พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเสมือนนอแรดฉะนั้น. |
| เนื้อในป่าไม้ถูกมัด เที่ยวหาเหยื่อด้วยความปรารถนา |
| ฉันใด ท่านเป็นวิญญูชนมุ่งความเสรี พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไป |
| เช่นกับนอแรด ฉันนั้น. |
| ในท่ามกลางหมู่สหาย ย่อมจะมีการปรึกษาหารือกัน ทั้ง |
| ในที่อยู่ ที่ยืน ที่เดิน และที่หากิน ท่านเล็งเห็นความไม่ |
| ละโมบ ความเสรี พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นเดียวกับนอแรดฉะนั้น. |
| การเล่นในท่ามกลางหมู่สหาย เป็นความยินดีและความ |
| รักในบุตรภรรยา เป็นสิ่งที่กว้างใหญ่ไพศาล ท่านเกลียด |
| ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไป |
| เสมือนนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านแผ่เมตตาไปทั้ง ๔ ทิศ ไม่มีความโกรธเคือง ยินดี |
| ด้วยปัจจัยตามมีตามได้ อดทนต่ออันตรายทั้งหลายได้ ไม่ |
| หวาดเสียว พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเสมือนนอแรดฉะนั้น. |
| แม้คนผู้บวชแล้วบางพวก และพวกคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน |
| สงเคราะห์ได้ยาก ท่านจึงเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยในบุตร |
| ของคนอื่น พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเหมือนนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านปลงเครื่องหมายของคฤหัสถ์ เป็นผู้กล้าหาญ ตัด |
| เครื่องผูกของคฤหัสถ์ เสมือนต้นทองหลางมีใบขาดมาก |
| พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ถ้าจะพึงได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ประพฤติเช่นเดียว |
| กัน อยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ไซร้ พึงครอบงำอันตราย |
| ทั้งปวง มีใจดี มีสติ เที่ยวไปกับสหายนั้น. |
| ถ้าไม่ได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ผู้อยู่ด้วยกรรมดี เป็น |
| นักปราชญ์ ไว้เป็นเพื่อนเที่ยวไปด้วยกัน พึงเป็นผู้เดียวเที่ยว |
| ไป เหมือนพระราชา ทรงละแว่นแคว้นที่ทรงชนะแล้ว เที่ยว |
| ไปพระองค์เดียว ดังช้างชื่อมาตังคะ ละโขลงอยู่ในป่าฉะนั้น. |
| ความจริง เราย่อมสรรเสริญความถึงพร้อมด้วยสหาย พึง |
| คบหาสหายผู้ประเสริฐกว่า หรือผู้ที่เสมอกัน เมื่อไม่ได้สหาย |
| เหล่านั้น ก็พึงคบหากรรมอันไม่มีโทษ พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไป |
| เช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านเห็นกำไลมือทองคำอันผุดผ่อง ที่นายช่างทองทำ |
| เสร็จแล้ว กระทบกันอยู่ที่แขนทั้งสอง (เกิดความเบื่อหน่าย) |
| พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| การเปล่งวาจา หรือวาจาเครื่องข้องของเรานั้น พึงมีกับ |
| เพื่อนอย่างนี้ ท่านเล็งเห็นภัยนี้ต่อไป พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไป |
| เช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ก็กามทั้งหลายอันวิจิตร หวานอร่อย เป็นที่รื่นรมย์ใจ |
| ย่อมย่ำยีจิตด้วยสภาพต่าง ๆ ท่านเห็นโทษในกามคุณทั้งหลาย |
| พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเหมือนนอแรดฉะนั้น. |
| ความจัญไร หัวฝี อุบาทว์ โรค กิเลสดุจลูกศร และ |
| ภัยนี้ของเรา ท่านเห็นภัยนี้ในกามคุณทั้งหลาย พึงเป็นผู้เดียว |
| เที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านครอบงำอันตรายแม้ทั้งหมดนี้ คือ หนาว ร้อน |
| ความหิว ความกระหาย ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์ |
| เลื้อยคลาน แล้วพึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเหมือนนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านพึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรด เปรียบเหมือน |
| ช้างมีขันธ์เกิดพร้อมแล้ว สีกายดังดดอกปทุมใหญ่โต ละโขลง |
| อยู่ในป่าตามชอบใจฉะนั้น. |
| ท่านใคร่ครวญถ้อยคำของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ |
| พระอาทิตย์ว่า บุคคลพึงถูกต้องวิมุตติอันเกิดเอง นี้มิใช่ฐานะ |
| ของผู้ทำความคลุกคลีด้วยหมู่ พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับ |
| นอแรดฉะนั้น. |
| ท่านเป็นไปล่วงทิฏฐิอันเป็นข้าศึก ถึงความแน่นอน มี |
| มรรคอันได้แล้ว เป็นผู้มีญาณเกิดขึ้นแล้ว อันคนอื่นไม่ต้อง |
| แนะนำ พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านไม่มีความโลภ ไม่โกง ไม่ระหาย ไม่ลบหลู่คุณท่าน |
| มีโมหะดุจน้ำฝาดอันกำจัดแล้ว เป็นผู้ไม่มีตัณหาในโลก |
| ทั่งปวง พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| กุลบุตรพึงละเว้นสหายผู้ลามก ผู้มักชี้แต่ความฉิบหาย |
| ตั้งอยู่ในฐานะผิดธรรมดา ไม่พึงเสพสหายผู้ขวนขวาย ผู้ |
| ประมาทด้วยตนเอง พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรด |
| ฉะนั้น. |
| กุลบุตรพึงคบมิตรผู้เป็นพหูสูต ทรงธรรม มีคุณยิ่ง มี |
| ปฏิภาณ รู้ประโยชน์ทั้งหลาย บรรเทาความสงสัยแล้ว |
| พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านไม่พอใจการเล่น ความยินดี และกามสุขในโลก |
| ไม่ห่วงใย งดเว้นจากฐานะที่ตกแต่ง มีปกติกล่าวคำสัตย์ |
| พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านละบุตร ภรรยา บิดา มารดา ทรัพย์ ข้าวเปลือก |
| พวกพ้อง และกามทั้งหลายตามที่มีอยู่มากมาย พึงเป็นผู้เดียว |
| เที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| นี้เป็นความเกี่ยวข้อง ในความเกี่ยวข้องนี้ มีสุขนิดหน่อย |
| มีความพอใจน้อย มีทุกข์มากยิ่ง บุรุษผู้มีความรู้ทราบว่า |
| ความเกี่ยวข้องนี้ดุจลูกธนู พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับ |
| นอแรดฉะนั้น. |
| กุลบุตรพึงทำลายสังโยชน์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนปลา |
| ทำลายข่ายแล้วไม่กลับมา ดังไฟไม้เชื้อลามไปแล้วไม่กับ |
| มา พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| พึงทอดจักษุลง ไม่คะนองเท้า มีอินทรีย์อันคุ้มครองแล้ว |
| รักษาใจไว้ได้ อันราคะไม่รั่วรด อันไฟกิเลสไม่เผาลน พึง |
| เป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านละเครื่องหมายแห่งคฤหัสถ์ เหมือนต้นทองหลาง |
| มีใบขาดแล้ว นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวชแล้ว พึงเป็น |
| ผู้เดียวเที่ยวไปเหมือนนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านไม่กระทำความกำหนัดในรส ไม่โลเล ไม่ต้องเลี้ยง |
| ผู้อื่น เที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก มีจิตไม่ข้องเกี่ยวใน |
| สกุล ฟังเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านละนิวรณ์เครื่องกั้นจิต ๕ ประการ บรรเทาอุปกิเลส |
| เสียทั้งสิ้น ไม่อาศัยตัณหาและทิฏฐิ ตัดโทษอันเกิดแต่สิเนหา |
| แล้ว พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านทำสุข ทุกข์ โทมนัส และโสมนัสก่อน ๆ ไว้เบื้อง |
| หลัง ได้อุเบกขา สมถะ และความหมดจดแล้ว พึงเป็น |
| ผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านปรารภความเพียรเพื่อบรรลุพระนิพพาน มีจิตไม่หดหู่ |
| ไม่ประพฤติเกียจคร้าน มีความเพียรมั่น ประกอบด้วยกำลัง |
| เรี่ยวแรง พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ไม่ละการหลีกเร้นและฌาน มีปกติประพฤติธรรมสมควร |
| แก่ธรรมเป็นนิตย์ พิจารณาเห็นโทษในภพทั้งหลาย พึงเป็น |
| ผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านปรารถนาความสิ้นตัณหา ไม่ประมาท เป็นผู้ฉลาด |
| เฉียบแหลม เป็นผู้สดับตรับฟัง มีสติ มีธรรมอันพิจารณา |
| แล้ว เป็นผู้เที่ยง มีความเพียร พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่น |
| กับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านไม่สะดุ้งเพราะเสียง ดุจสีหะ ไม่ข้องอยู่ในตัณหา |
| และทิฏฐิ เหมือนลมไม่ติดตาข่าย ไม่ติดอยู่ในโลก ดุจดอก |
| ปทุมไม่ติดน้ำ พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านเสพเสนาสนะอันสงัด เหมือนราชสีห์มีเขี้ยวเป็น |
| กำลัง เป็นราชาของหมู่เนื้อ มีปกติประพฤติข่มขี่ครอบงำ |
| พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านเจริญเมตตาวิมุตติ กรุณาวิมุตติ มุทิตาวิมุตติ และ |
| อุเบกขาวิมุตติทุกเวลา ไม่พิโรธสัตว์โลกทั้งปวง พึงเป็น |
| ผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| ท่านละราคะ โทสะ และโมหะ ทำลายสังโยชน์ทั้งหลาย |
| เสีย ไม่สะดุ้งในเวลาสิ้นชีวิต พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับ |
| นอแรดฉะนั้น. |
| ชนทั้งหลาย มีเหตุเป็นประโยชน์ จึงคบหาสมาคมกัน |
| มิตรทั้งหลายไม่มีเหตุ หาได้ยากในวันนี้ มนุษย์ทั้งหลายมี |
| ปัญญามองประโยชน์ตน เป็นคนไม่สะอาด ฟังเป็นผู้เดียว |
| เที่ยวไปเช่นกับนอแรดฉะนั้น. |
| นักปราชญ์เหล่าใดมีศีลบริสุทธิ์ มีปัญญาหมดจดดี มีจิต |
| ตั้งมั่น ประกอบความเพียร เจริญวิปัสสนา มีปกติเห็นธรรม |
| พิเศษ รู้แจ้งธรรมอันประกอบด้วยองค์มรรค และโพชฌงค์. |
| เจริญสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ และอัปปณิหิต- |
| วิโมกข์ ไม่บรรลุความเป็นพระสาวกในศาสนาของพระชินเจ้า |
| นักปราชญ์เหล่านั้นย่อมเป็นพระสยัมภูปัจเจกชินเจ้า. |
| มีธรรมใหญ่ มีธรรมกายมาก มีจิตเป็นอิสระ ข้ามห้วง |
| ทุกข์ทั้งปวงได้ มีใจเบิกบาน มีปกติเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง |
| อุปมาดังราชสีห์ อุปมาดังนอแรดฉะนั้น. |
| พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเหล่านี้ มีอันทรีย์สงบ มีใจสงบ |
| มีใจตั้งมั่น มีปกติประพฤติกรุณาในสัตว์ ในปัจจันตชนบท |
| เกื้อกูลแก่เหล่าสัตว์ รุ่งเรื่องอยู่ในโลกนี้และโลกหน้า เช่น |
| กับดวงประทีปฉะนั้น. |
| พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเหล่านี้ ละกิเลสเครื่องกั้นทั้งปวง |
| หมดแล้ว เป็นจอมชน เห็นประทีปส่องโลกให้สว่าง มีรัศมี |
| เช่นรัศมีแห่งทองคำแท่ง เป็นพระทักขิไณยบุคคลชั้นดีของ |
| ชาวโลก โดยไม่ต้องสงสัย เป็นผู้เต็มเปี่ยมอยู่เสมอ. |
| คำสุภาษิตของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นไป |
| ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ชนเหล่าใดผู้เป็นพาลได้ฟังแล้วไม่ |
| กระทำเหมือนอย่างนั้น ชนเหล่านั้นท่องเที่ยวไปในสังสาร- |
| ทุกข์บ่อย ๆ. |
| คำสุภาษิตของพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นคำ |
| ไพเราะ. ดังน้ำผึ้งรวงอันไหลออกอยู่ ชนเหล่าใดได้ฟังแล้ว |
| ประกอบการปฏิบัติเช่นนั้น ชนเหล่านั้นย่อมเป็นผู้มีปัญญา |
| เห็นสัจจะ. |
| คาถาอันโอฬารที่พระปัจเจกสัมพุทธชินเจ้า ออกบวช |
| กล่าวไว้แล้ว คาถาเหล่านั้นอันพระศากยสีหะผู้สูงสุดกว่า |
| นรชนทรงประกาศแล้ว เพื่อให้รู้แจ้งธรรม. |
| คำที่เป็นคาถาเหล่านี้ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น |
| รจนาไว้อย่างวิเศษ เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก อันพระสยัมภู |
| ผู้สีหะทรงประกาศแล้ว เพื่อเพิ่มพูนความสังเวช ความไม่ |
| คลุกคลี และปัญญา ฉะนี้แล. |
| ปัจเจกพุทธาปทาน จบบริบูรณ์ |
| จบอปทานที่ ๒ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น